
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การต้อนรับ ดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และประธานอาเซียน เพื่อหารือทวิภาคีในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทย เพื่อการเจรจาทำงาน (Working Visit) โดยนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังใช้เวลาหารือกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 30 นาที ว่า มี 3 เรื่องหลัก คือ
1. การก่อสร้างสะพานสุไหงโกลก ซึ่งมีการตกลงระหว่างสองประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ และได้เริ่มต้นแล้ว คาดจะแล้วเสร็จในปี ค.ศ.2027
2. ได้หารือความสงบในพื้นที่ภาคใต้ โดยได้มีการขอความร่วมมือทางด้านมาเลเซีย รัฐบาลจะเน้นในเรื่องของเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอาหารฮาลาล เมืองยางพารา ซึ่งทั้งสองประเทศมีความคิดเห็นว่า น่าจะเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เพื่อจะได้ช่วยเหลือในด้านเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน
ส่วนความคืบหน้าในการพูดคุยสันติสุขในพื้นที่ภาคใต้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้มีการพูดคุยในรายละเอียดว่า ในเรื่องของทีมทำงานจะสนับสนุนกันมากขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเป็นรายละเอียดต่อไป โดยการพูดคุยก็จะมีทั้งในระดับรัฐมนตรี ระดับของนายกรัฐมนตรีที่คุยกันแล้ว วงปฏิทินการทำงาน ก็ขอให้ราบรื่นเรียบร้อย บางทีไม่ได้คุยกันในทุกระดับก็จะมีความท้าทายในการทำงาน ซึ่งก็ต้องหารือว่าจะให้ทุกระดับคุยกัน ให้เกิดความชัดเจนในเรื่องนี้ และยังคงย้ำว่าให้มาเลเซียเป็นผู้อำนวยการสะดวก ในการพูดคุยสันติสุข
3. เรื่องการขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งได้พูดคุยกันว่า ในเรื่องของอาเซียนเองจะรวมพลังกันได้อย่างไรบ้าง เพราะหากรวมประชากรในอาเซียนก็ถือว่ามีจำนวนมากและมีความแข็งแรง พร้อมกับดูว่าแต่ละประเทศเอง จะมีทางออกอย่างไร ซึ่งการทำงานก็จะแบ่งเป็นแต่ละส่วนของแต่ละประเทศไป และจะมีการรวมพลังของอาเซียนด้วยว่าจะมีการประชุมอาเซียนในฐานะที่มาเลเซีย เป็นประธานอาเซียนในปีนี้ ก็อยากจะได้รับความร่วมมือ ว่าจะมีทางออกและได้รับการแก้ไขอย่างไรบ้าง
โดยการจับมือของอาเซียนในการต่อสู้กับภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์นั้น ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียด แต่จะหารือกันในเรื่องที่พร้อมสนับสนุนในมุมของอาเซียน ซึ่งแน่นอนว่าไทยพร้อมที่จะร่วมมือกับอาเซียน และยืนยันว่าไทยไม่เน้นความรุนแรง และเน้นเรื่องความสงบสุข หากเจรจาแบบ win-win ได้ก็จะพยายามทำแบบนั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจากับทางสหรัฐฯ หลังจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้พูดคุยกับคนรอบตัวนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไปหลายคนแล้วว่า เป็นการพูดคุยในลักษณะไม่เป็นทางการ ถือเป็นประโยชน์อย่างหนึ่งที่สามารถรวบรวมความคิดเห็นได้ก่อน และทางสหรัฐฯ ก็อยากฟังความคิดเห็นของไทยเช่นกัน ถือเป็นการพูดคุยนอกรอบ เพื่อจะดูได้สามารถจะซัพพอร์ตระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ในเรื่องใดได้บ้าง
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะเดินทางไปพูดคุยกับระดับรัฐมนตรีสหรัฐฯ ในวันที่ 23 เม.ย. นี้ พร้อมยืนยันว่า ข้อเจรจาที่ไทยจะนำต่อรองกับสหรัฐฯค่อนข้างมีความแข็งแรง และมั่นใจว่าเป็นส่งผลบวกและเป็นประโยชน์กับทั้งสองประเทศ และจะมีการพูดคุยกันอย่างแฟร์ ๆ และไทยกับสหรัฐฯมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นผลดี
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในรายละเอียดที่จะมีการเจรจา จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการค้าเป็นหลัก และได้เน้นย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ในเหตุการณ์ปกติ ตนสามารถยกหูโทรศัพท์พูดคุยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ แต่ในขณะนี้ทุกประเทศกำลังเข้าคิวเพื่อขอเจรจากับสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นเราก็ควรไปตามกระบวนการ
"ในหลาย ๆ ทางที่สามารถคุยได้ ตัวดิฉันเองก็คุยเช่นกัน อาจจะไม่ official แต่อะไรที่เป็น connection ที่สามารถนวดได้ หรือค่อย ๆ พูดได้ก็ทำ" น.ส.แพทองธาร กล่าว
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำว่า ในทีมทำงานให้การสนับสนุนภาคเอกชนในการลงทุนในต่างประเทศด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐยังไม่มีมาตรการชัดเจนในเรื่องนี้ และเมื่อเป็นรูปเป็นร่างจะเปิดรายละเอียดอีกครั้ง แต่ตอนนี้มีความตั้งใจและสื่อสารไปกับทีมงาน ซึ่งทุกคนเห็นด้วย และตอนนี้ภาคเอกชนที่ไปลงทุนในต่างประเทศก็เดินทางไปด้วยตนเอง และหากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอาจทำได้ดีกว่าเดิม หรือไม่ต้องเสี่ยงเท่าเดิม ซึ่งตนเคยทำงานในภาคเอกชนมาก่อน ถ้าได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ คงเป็นความร่วมมือที่ทำให้ประโยชน์ให้กับประเทศอย่างมากมาย ดังนั้นจะทำแผนนี้ต่อ
นายกรัฐมนตรี ยังเล่าถึงการได้พูดคุยกับนายทักษิณ อย่างจริงจังในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เชียงใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดคุยกันว่า เป็นการอัปเดตสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งที่ผ่านมาไม่ได้เจอนายทักษิณเลย เพราะตนก็ไม่มีเวลา และนายทักษิณได้อัปเดตสถานการณ์ของสหรัฐฯ ว่า ได้มีการพูดคุยกับอีกหลายคน และพูดคุยทิศทางว่าจะไปด้านใด
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สมัยที่ตนยังเป็นวัยเด็ก 10 ขวบกว่า ก็เคยมีโอกาสพบกับครอบครัวและรับประทานอาหารกับประธานาธิบดีทรัมป์ที่ประเทศไทย และนายทักษิณพอทราบว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นนักธุรกิจที่สามารถพูดคุยกันได้ว่า สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์ทั้งเขาและเรา และเขาก็ไม่อยากเสียประโยชน์เช่นกัน ก็มีการคุยแนวทางว่าประมาณไหนบ้าง ก็มีการปรึกษากัน
ส่วนมีการประเมินความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการขึ้นภาษีอย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ความจริงต้องมีการปรับตัว เพราะภาษีต่าง ๆ ยังไม่ถูก revise ถูกดึงในด้านนั้นด้านนี้ ทำให้เป็นตัวเลขที่ไม่ได้มาตรฐานเต็ม ๆ บางอันเราอาจจะได้เปรียบขึ้นก็ได้ บางอันประโยชน์อาจจะน้อยลงบ้าง จึงต้องเกลี่ยทั้งกระดานทั้งหมด ซึ่งเรื่องนี้ต้องลองดูขอเป็นเชิงในรายละเอียด
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ขอให้ผู้ประกอบทุกคนมั่นใจว่า ตนเป็นนักธุรกิจมาก่อน ก็ทราบว่าไม่มีใครอยากเสียประโยชน์ และขอให้มั่นใจว่า รัฐบาลดูแลเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ส่วนรายละเอียดการพูดคุยขอให้รมว.คลังเป็นคนแถลงว่า สุดท้ายแล้วมีการพูดคุยไปกี่หัวข้อ
ขณะที่มีรายงานข่าวว่า นายอันวาร์ จะร่วมหารือและรับประทานอาหารเย็นกับนายทักษิณ ในฐานะที่ปรึกษาประธานอาเซียน และ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหารของเมียนมาในช่วงค่ำวันนี้
https://youtu.be/I1sH0z-_ql4