คริสตี โนเอม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ประกาศว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอาจจะไม่สามารถเปิดรับนักศึกษาต่างชาติได้ หากทางมหาวิทยาลัยไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ในการแบ่งปันข้อมูลของผู้ถือวีซ่าบางราย ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังยกระดับการต่อต้านมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งนี้
โนเอมระบุในแถลงการณ์เมื่อวันพุธ (16 เม.ย.) ว่า เธอได้เขียนจดหมายถึงมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเพื่อร้องขอบันทึกข้อมูลที่เธอเรียกว่าเป็น "กิจกรรมที่ผิดกฎหมายและรุนแรง" ของผู้ถือวีซ่านักศึกษาต่างชาติของฮาร์วาร์ด ภายในวันที่ 30 เม.ย. และหากฮาร์วาร์ดไม่สามารถยืนยันได้ว่าปฏิบัติตามข้อกำหนดในการรายงานอย่างครบถ้วน มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็จะสูญเสียสิทธิพิเศษในการรับนักศึกษาต่างชาติ
นอกจากนี้ โนเอมยังประกาศว่า กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ระงับเงินอุดหนุนสองรายการที่ให้กับมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.7 ล้านดอลลาร์
ทางด้านโฆษกของฮาร์วาร์ดกล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยรับทราบเรื่องจดหมายของโนเอมเกี่ยวกับการยกเลิกเงินอุดหนุนและการตรวจสอบวีซ่านักศึกษาต่างชาติ แต่ฮาร์วาร์ดยังคงยืนยันตามคำแถลงการณ์ในสัปดาห์นี้ว่า ทางมหาวิทยาลัยจะไม่ยอมละทิ้งความเป็นอิสระหรือสละสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในขณะเดียวกันทางมหาวิทยาลัยก็จะปฏิบัติตามกฎหมาย
ฮาร์วาร์ดได้เปิดเผยเมื่อไม่นานมานี้ว่า ทางมหาวิทยาลัยพยายามดำเนินการเพื่อรับมือกับการต่อต้านชาวยิวและแนวคิดอคติด้านอื่น ๆ ในมหาวิทยาลัย แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาเสรีภาพทางวิชาการและสิทธิในการชุมนุมประท้วง
ที่ผ่านมานั้น รัฐบาลทรัมป์ได้ขู่ว่าจะตัดเงินทุนสนับสนุนของรัฐบาลกลางแก่มหาวิทยาลัยต่าง ๆ หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนชาวปาเลสไตน์ได้ก่อเหตุประท้วงในมหาวิทยาลัยเพื่อต่อต้านอิสราเอลซึ่งเป็นพันธมิตรของสหรัฐฯ โดยอิสราเอลใช้กำลังทหารโจมตีชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา หลังจากกลุ่มฮามาสได้ก่อเหตุโจมตีดินแดนอิสราเอลเมื่อเดือนต.ค. 2566
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์มองว่าผู้ประท้วงเหล่านี้มีจุดยืนต่อต้านชาวยิวและเห็นอกเห็นใจฮามาส ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามต่อนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ ขณะที่กลุ่มผู้ประท้วงกล่าวว่ารัฐบาลทรัมป์พยายามเชื่อมโยงการสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์และการวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของอิสราเอลในกาซา เข้ากับการสนับสนุนความรุนแรงสุดโต่งและการต่อต้านชาวยิวอย่างไม่ถูกต้อง