SMILE INSURE สานต่อพันธกิจแห่งการให้ กับกิจกรรม "Blood4Life แบ่งปันโลหิต แบ่งปันชีวิต" ครั้งที่ 2

ข่าวทั่วไป Thursday April 24, 2025 09:18 —ThaiPR.net

SMILE INSURE สานต่อพันธกิจแห่งการให้ กับกิจกรรม

บริษัท SMILE INSURE ยังคงมุ่งมั่นในการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยความตั้งใจจริงในการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างประโยชน์ให้กับสาธารณชน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและชีวิต ผ่านโครงการ "Blood4Life แบ่งปันโลหิต แบ่งปันชีวิต" ซึ่งจัดขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ณ ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เพื่อร่วมส่งเสริมการบริจาคโลหิตที่มีคุณภาพ และช่วยเพิ่มปริมาณโลหิตในคลังสำรองให้เพียงพอต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระบบสาธารณสุข

ผู้บริหารของ SMILE INSURE ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการบริจาคโลหิตในฐานะการให้ที่ยิ่งใหญ่และเป็นรูปธรรม จึงได้ริเริ่มโครงการ "Blood4Life แบ่งปันโลหิต แบ่งปันชีวิต" ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรภายในองค์กรเกิดจิตสำนึกในการช่วยเหลือสังคม และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการรักษาชีวิตของผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยกิจกรรมดังกล่าวไม่เพียงแต่เป็นการบริจาคโลหิตเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงแนวทางขององค์กรที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์สังคมที่มีคุณภาพ และความรับผิดชอบร่วมกัน

นโยบายของบริษัท SMILE INSURE ในด้านกิจกรรมเพื่อสังคมนั้น มุ่งเน้นการสร้างผลลัพธ์เชิงบวกในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพของบุคลากร การมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือชีวิตผู้อื่น รวมไปถึงการปลูกฝังจิตสาธารณะอย่างยั่งยืน การสนับสนุนให้พนักงานมีโอกาสร่วมในกิจกรรมจิตอาสาจึงเป็นแนวทางสำคัญที่บริษัทใช้ในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง มีคุณธรรม และรับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม

การบริจาคโลหิตนับเป็นหนึ่งในกิจกรรมจิตอาสาที่มีคุณค่ามหาศาล เพราะสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตในการรักษา ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประสบอุบัติเหตุฉุกเฉิน ผู้ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ หรือผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่จำเป็นต้องใช้โลหิตเป็นประจำ เช่น ผู้ป่วยโรคมะเร็ง โรคเลือด และโรคเรื้อรังอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนโลหิต

โลหิตที่ได้จากการบริจาค 1 ถุง สามารถนำไปแยกเป็นส่วนประกอบหลักทางการแพทย์ได้ถึง 3 ส่วน ได้แก่ พลาสมา (Plasma), เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ หรือ นำไปวิจัยเพื่อพัฒนาทางการแพทย์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นยารักษาโรคเฉพาะทางที่มีมูลค่าสูง และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาด้านโปรตีนในเลือด

ถึงแม้ว่าในแต่ละปีจะมีผู้บริจาคโลหิตอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริง คลังโลหิตสำรองของสภากาชาดไทยยังคงประสบภาวะขาดแคลนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มโลหิตบางกรุ๊ปที่พบได้ยาก เช่น กรุ๊ป O หรือกรุ๊ป AB และในช่วงเวลาที่มีอัตราการเข้ารับการรักษาหรือผ่าตัดเพิ่มขึ้น เช่น ช่วงเทศกาล หรือเหตุการณ์ภัยพิบัติฉุกเฉิน นอกจากนี้ยังมีปัญหาในเรื่องของการคัดกรองโลหิต เนื่องจากโลหิตบางส่วนอาจไม่ผ่านมาตรฐานด้านความปลอดภัย เช่น การตรวจพบโรคติดต่อ หรือคุณสมบัติที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้โลหิตที่สามารถนำไปใช้ได้จริงมีจำนวนน้อยกว่าที่ได้รับบริจาคมา

ประโยชน์ของการบริจาคโลหิตการบริจาคโลหิตเป็นกิจกรรมที่ให้ประโยชน์อย่างรอบด้าน ทั้งต่อผู้รับและผู้บริจาค ดังนี้

- ช่วยชีวิตผู้ป่วยในภาวะฉุกเฉิน อาทิ ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุ มีภาวะเสียเลือดมาก หรือผู้ที่ต้องผ่าตัดใหญ่ที่ต้องใช้เลือดปริมาณมาก

- สนับสนุนการรักษาผู้ป่วยโรคร้ายแรง เช่น มะเร็งเม็ดเลือด โรคธาลัสซีเมีย โรคฮีโมฟีเลีย และโรคทางโลหิตอื่น ๆ ที่จำเป็นต้องได้รับโลหิตอย่างต่อเนื่อง

- เสริมสร้างคลังโลหิตให้พร้อมใช้ เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินระดับประเทศ และสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด

- ส่งเสริมจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสังคม การบริจาคโลหิตสะท้อนถึงความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ และเป็นการแสดงออกถึงคุณค่าทางจริยธรรมในระดับบุคคล

- ส่งเสริมสุขภาพของผู้บริจาคเอง เช่น การกระตุ้นให้ร่างกายผลิตเซลล์เม็ดเลือดใหม่ ส่งผลดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการตรวจสุขภาพเบื้องต้นโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ซึ่งช่วยให้ผู้บริจาคสามารถเฝ้าระวังสุขภาพตนเองได้อีกด้วย

- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด จากผลการศึกษาบางฉบับ พบว่าการบริจาคโลหิตเป็นประจำอาจช่วยลดปริมาณเหล็กในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจบางประเภท

คำแนะนำก่อนการบริจาคโลหิตเพื่อให้การบริจาคโลหิตดำเนินไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ผู้ที่ต้องการบริจาคควรเตรียมตัวให้พร้อม โดยมีแนวทางดังนี้

- พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 5 ชั่วโมงขึ้นไป

- ดื่มน้ำอย่างน้อย 300 - 500 ซีซี ก่อนบริจาค

- หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง และเลือกรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง

- งดสูบบุหรี่และงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังการบริจาคอย่างน้อย 1 ชั่วโมง

- หากอยู่ระหว่างรับประทานยา หรือมีประวัติสุขภาพที่อาจเกี่ยวข้อง ควรแจ้งเจ้าหน้าที่ล่วงหน้าทุกครั้ง

- ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์ หรือประวัติเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับโรคติดต่อ

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต

- อายุระหว่าง 17 - 70 ปี (ครั้งแรกไม่เกิน 60 ปี)

- น้ำหนักตัวตั้งแต่ 45 กิโลกรัมขึ้นไป

- มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการบริจาค

สถานที่ที่สามารถบริจาคโลหิตได้

- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย

- หน่วยรับบริจาคโลหิตเคลื่อนที่

- ภาคบริการโลหิตแห่งชาติ 12 แห่งทั่วประเทศ

- โรงพยาบาลในเครือบริการโลหิตแห่งชาติ 179 แห่งทั่วประเทศ

- โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

- ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 02-263-9600 ต่อ 99 หรือ 02-256-4300

- สำนักงานใหญ่สภากาชาดไทย โทร. 02-251-1218

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ