
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุมคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (ESCAP) สมัยที่ 81 การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางบริบทของความท้าทายระดับโลกที่เชื่อมโยงกันข้ามพรมแดน ทั้งภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ความผันผวนทางเศรษฐกิจ ภาวะถดถอยของสิ่งแวดล้อม และอาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อเสถียรภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
ดังนั้นการเสริมสร้างความร่วมมือในทุกระดับและภาวะผู้นำที่มองไกลจึงเป็นกุญแจสำคัญ โดยต้องยึดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ บรรทัดฐานสากล และความมุ่งมั่นต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนและครอบคลุม
นายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความสำคัญของกลไกพหุภาคี เช่น องค์การสหประชาชาติ ESCAP อาเซียน ACMECS BIMSTEC และ ACD ว่ามีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการรวมพลังประเทศสมาชิกเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ สร้างความเชื่อมโยง และผลักดันนโยบายร่วมกันสู่การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกที่แม้จะเป็นแหล่งการเติบโตทางเศรษฐกิจมากกว่าครึ่งของโลก แต่ก็ยังเผชิญความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้นและภาวะยากจนที่ทวีความรุนแรง
นายกรัฐมนตรี แสดงความกังวลต่อความคืบหน้าในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยระบุว่า ในปี 2567 กว่า 84% ของเป้าหมาย SDGs ในภูมิภาคยังมีความก้าวหน้าเพียงเล็กน้อยหรือถดถอย ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่า ประเทศสมาชิกต้องร่วมกันปรับแนวทาง ขับเคลื่อนนโยบายที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมนวัตกรรมในการพัฒนา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย SDGs
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ดำเนินการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งเป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลางและเคารพความสมดุลของธรรมชาติ โดยถือเป็นรากฐานสำคัญในการผลักดัน SDGs ทั้งในระดับประเทศและในการแบ่งปันองค์ความรู้แก่ประเทศที่สนใจ ไทยยินดีแบ่งปันแนวทางพัฒนานี้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาคร่วมกัน
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือระดับภูมิภาค ดังนี้
1.ไทยตั้งเป้าหมายการเป็น "ครัวของโลก" โดยมุ่งเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารผ่านการปรับโฉมภาคการเกษตรด้วยการใช้เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (precision farming) และนวัตกรรมเพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพชีวิตของเกษตรกร การพัฒนาเกษตรอัจฉริยะไม่เพียงตอบโจทย์ความมั่นคงทางอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน เป็นธรรม และครอบคลุมทั้งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
2. "เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ผ่านการขับเคลื่อนด้วย Soft Power และการพัฒนาโมเดลเศรษฐกิจที่เน้นประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยไทยมีทุนทางวัฒนธรรมซึ่งสามารถต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ผ่านอุตสาหกรรมวัฒนธรรม การออกแบบนวัตกรรม และการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยเฉพาะแนวคิด De-stress destinations และการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่ช่วยกระจายรายได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจในพื้นที่นอกเขตเมือง
3."การเปลี่ยนผ่านสีเขียว" โดยไทยเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวผ่านนโยบายเศรษฐกิจ BCG ที่เน้นการลดการปล่อยคาร์บอน ใช้พลังงานสะอาด และส่งเสริมนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน โดยตั้งเป้าให้ประเทศไทยบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีความยืดหยุ่นสูง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายในปี 2593 ประชากรโลกกว่า 70% จะอาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นของการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนและปลอดภัย ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ตลอดจนการรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และอาชญากรรมไซเบอร์ ไทยจึงให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างทักษะดิจิทัลให้ประชาชนควบคู่กับการบังคับใช้กฎหมาย
สำหรับตัวอย่างรูปธรรมของการลดความเหลื่อมล้ำในเมือง รัฐบาลไทยได้นำเสนอโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในกรุงเทพมหานครที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพิ่มการเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจ และเชื่อมโยงเมืองให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยรัฐบาลมุ่งมั่นจะขยายมาตรการในลักษณะนี้ไปยังพื้นที่อื่น ๆ ในอนาคต
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้เสนอแนวคิด 3 ประการ ได้แก่ 1) ความร่วมมือระดับภูมิภาคต้องดำเนินควบคู่กับการดำเนินการในระดับชาติ 2) ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม เป็นกุญแจสำคัญของการเติบโตที่ครอบคลุม และ 3) ESCAP เป็นเวทีสำคัญในการแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างกลไกความร่วมมือเพื่อเร่งรัดการพัฒนาที่ยั่งยืน
พร้อมยืนยันว่า ไทยพร้อมทำงานร่วมกับ ESCAP และประเทศสมาชิกอย่างใกล้ชิด เพื่อร่วมสร้างภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่มั่งคั่ง ยืดหยุ่น และยั่งยืนสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต