เศรษฐกิจมาเลเซียในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 เติบโตขึ้น 4.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามข้อมูลเบื้องต้นที่เปิดเผยวันนี้ (18 เม.ย.) ขณะที่การส่งออกเดือนมี.ค. ขยายตัว 6.8% โดยเฉพาะยอดส่งออกไปสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนที่ปกคลุมการค้าโลกอันเนื่องมาจากนโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ
แม้อัตราการเติบโตไตรมาส 1/2568 จะชะลอตัวลงจาก 5% ในไตรมาส 4/2567 แต่กิจกรรมและความต้องการภายในประเทศยังคงเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยกรมสถิติมาเลเซียระบุว่า การเติบโตของ GDP มาเลเซียยังคงแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่เข้มแข็ง ซึ่งรวมถึงภาคค้าปลีกและค้าส่ง ตลาดแรงงาน ตลอดจนอุปสงค์สินค้าส่งออกสำคัญที่ปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ทางการมาเลเซียมีกำหนดเปิดเผยข้อมูล GDP ไตรมาส 1/2568 ฉบับสมบูรณ์ ในวันที่ 16 พ.ค.
ขณะเดียวกัน กระทรวงการลงทุน การค้าและอุตสาหกรรมของมาเลเซีย รายงานในวันนี้ว่า การส่งออกเดือนมี.ค.ขยายตัว 6.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นถึง 50.8% คิดเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.266 หมื่นล้านริงกิต (5.14 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) สวนทางการส่งออกไปจีนที่ลดลง 1.3% โดยจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย
การเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ความตึงเครียดทางการค้าโลกกำลังคุกรุ่น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการเมื่อต้นเดือนเม.ย. ซึ่งมาเลเซียเผชิญกับอัตราภาษีที่ 24% และมีกำหนดส่งคณะผู้แทนไปเจรจากับเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
กระทรวงเตือนให้ใช้ความระมัดระวัง เนื่องจากความไม่แน่นอนของอุปสงค์ทั่วโลกอาจส่งผลกระทบต่อการลงทุนและความต้องการภายในประเทศได้ "ในฐานะประเทศการค้าขนาดเล็กและเปิดกว้าง มาเลเซียย่อมต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนภายนอกที่เพิ่มสูงขึ้นในภูมิทัศน์การค้าโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้" กระทรวงระบุ
อย่างไรก็ดี กระทรวงเพิ่มเติมด้วยว่า แม้เผชิญความท้าทายจากสงครามการค้า แต่ธนาคารกลางมาเลเซียยังคงคาดการณ์การเติบโตของ GDP ตลอดทั้งปีไว้ที่ 4.5%-5.5% และคาดว่าการส่งออกจะเติบโต 5.2%