ผลสำรวจทางธุรกิจที่เปิดเผยในวันนี้ (23 เม.ย.) บ่งชี้ว่า บริษัทในสหราชอาณาจักร (UK) เผชิญแรงกดดันอย่างหนักในเดือนเม.ย. ท่ามกลางสงครามการค้าโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเสี่ยงฉุดเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหม่
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นต้นของ UK จาก S&P Global ร่วงลงสู่ระดับ 48.2 ในเดือนเม.ย. จาก 51.5 ในเดือนมี.ค.
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากราคาพลังงานที่พุ่งสูงและความผันผวนในตลาดการเงิน อันเนื่องมาจากแผนงบประมาณที่ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีของอดีตนายกรัฐมนตรีลิซ ทรัสส์
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ที่ระดับสูงกว่า 50 บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางธุรกิจอยู่ในภาวะขยายตัว ส่วนดัชนีที่ต่ำกว่า 50 บ่งชี้ว่าอยู่ในภาวะหดตัว
คำสั่งซื้อเพื่อการส่งออกลดลงในอัตราที่เร็วที่สุดนับตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของการระบาดใหญ่ของโควิด-19 ในปี 2563 ขณะเดียวกัน ต้นทุนดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ก็พุ่งสูงขึ้นในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบกว่าสองปี อันเป็นผลมาจากการปรับขึ้นภาษีการจ้างงานและค่าแรงขั้นต่ำ
อย่างไรก็ดี แม้จะมีสัญญาณเตือนภัยด้านเงินเฟ้อ การหดตัวอย่างรุนแรงของกิจกรรมทางธุรกิจครั้งนี้กลับยิ่งตอกย้ำการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 8 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นประเด็นที่เคยมีความไม่แน่นอนเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้า
สำหรับภาคบริการนั้น ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นของ UK ลดลงมาอยู่ที่ 48.9 ในเดือนเม.ย. จาก 52.5 ในเดือนมี.ค. นับเป็นการร่วงจากจุดสูงสุดในรอบ 7 เดือน สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 27 เดือน
ยิ่งไปกว่านั้น ภาคการผลิตซึ่งกำลังประสบปัญหาอยู่แล้ว กลับมีสถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีกในเดือนเม.ย. โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นต้นลดลงเหลือ 44.0 ในเดือนเม.ย. จาก 44.9 ในเดือนมี.ค. แตะระดับต่ำสุดในรอบ 20 เดือน ส่วนคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกในภาคการผลิตทรุดตัวลงในอัตราที่รุนแรงเป็นอันดับ 4 เป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่มีการสำรวจ PMI รายเดือนมาตั้งแต่ปี 2539