ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันอังคาร (15 เม.ย.) หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ระบุว่า เขากำลังพิจารณาปรับลดภาษี 25% ที่เรียกเก็บกับการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์จากเม็กซิโก แคนาดา และประเทศอื่น ๆ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นกลุ่มรถยนต์และชิ้นส่วนพุ่งขึ้น 2.3% แต่หุ้นแอลวีเอ็มเอช (LVMH) ในกลุ่มสินค้าหรูหราร่วงลงอย่างหนัก หลังเปิดเผยยอดขายไตรมาสแรกต่ำกว่าคาด เนื่องจากความอ่อนแอของยอดขายในสหรัฐฯ และจีน
ทั้งนี้ ดัชนี STOXX 600 ปิดตลาดที่ระดับ 508.06 จุด เพิ่มขึ้น 8.17 จุด หรือ +1.63%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,335.40 จุด เพิ่มขึ้น 62.28 จุด หรือ +0.86%, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 21,253.70 จุด เพิ่มขึ้น 298.87 จุด หรือ +1.43% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,249.12 จุด เพิ่มขึ้น 114.78 จุด หรือ +1.41%
หุ้น LVMH ร่วง 7.8% ส่งผลให้บริษัทสูญเสียตำแหน่งบริษัทสินค้าหรูหราที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในยุโรปให้แก่คู่แข่งอย่างแอร์เมส (Hermes)
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราและความงามทั่วทั้งยุโรปต่างได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการของ LVMH โดย Christian Dior ของฝรั่งเศสร่วง 8.3% ส่วนบริษัทเครื่องสำอาง Puig ของสเปน ร่วงลง 4.4% และดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราลดลง 1.5%
ทรัมป์ประกาศภาษีตอบโต้กับหลายประเทศทั่วโลกเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ก่อนจะกลับลำในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเลื่อนการบังคับใช้ภาษีออกไป 90 วัน ซึ่งสร้างความผันผวนแก่ตลาดการเงิน แต่แม้จะมีการผ่อนผัน 90 วัน สหภาพยุโรปยังคงเผชิญกับภาษีในอัตรา 10% สำหรับสินค้าหลายรายการ รวมถึงอัตราภาษีที่สูงขึ้นสำหรับเหล็ก อะลูมิเนียม และรถยนต์
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ZEW ของเยอรมนีระบุว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเยอรมันในเดือนเม.ย. ลดลงแรงที่สุดนับตั้งแต่รัสเซียบุกยูเครนในปี 2565 เนื่องจากความไม่แน่นอนที่เกิดจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ
ขณะนี้นักลงทุนรอผลการประชุมนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งตลาดคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%