ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกเทขายอย่างหนักในวันจันทร์และอังคาร (7-8 เม.ย.) ซึ่งดันอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีกลับไปยืนเหนือระดับ 4% และสร้างความกังวลถึงความเปราะบางของตลาดพันธบัตรที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้
ความผันผวนครั้งนี้ โดยเฉพาะการแกว่งตัวของผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีในวันจันทร์ที่รุนแรงสุดในรอบ 20 ปี มีความคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ "แห่ตุนเงินสด" (dash-for-cash) เมื่อเดือนมี.ค. 2563 ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นการระบาดของโรคโควิด-19
คนในตลาดส่วนใหญ่เชื่อว่า การเทขายนี้เกิดจากการถูกบังคับขาย โดยเฉพาะจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ต้องรีบขายสินทรัพย์อย่างพันธบัตรออกมาเพื่อหาเงินไปวางหลักประกันเพิ่ม (margin call) หลังขาดทุนจากสินทรัพย์อื่น ๆ
นอกจากนี้ การปิดสถานะ "basis trade" (กลยุทธ์ทำกำไรส่วนต่างระหว่างพันธบัตรจริงกับฟิวเจอร์พันธบัตรที่เฮดจ์ฟันด์นิยมใช้) ก็คาดว่าเป็นตัวเร่งให้ตลาดผันผวนหนักขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 2563
สิ่งที่สนับสนุนมุมมองนี้คือส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสวอป (swap spreads) ที่แคบลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งชี้ว่ามีแรงขายกดดันที่ตัวพันธบัตรโดยตรง ไม่ใช่แค่การปรับมุมมองเรื่องดอกเบี้ยโดยรวม
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ยังชี้ว่า การเทขายอย่างหนักและการปิดสถานะของเฮดจ์ฟันด์ (ที่เคยเก็งว่าส่วนต่างนี้จะกว้างขึ้น) ก็มีส่วนทำให้เกิดแรงขายด้วย
การเทขายครั้งนี้สวนทางกับช่วงก่อนหน้าที่เงินทุนไหลเข้าพันธบัตรเพื่อหาแหล่งพักเงินปลอดภัยจากแรงกดดันในตลาดหุ้นและความกังวลเรื่องภาษีนำเข้า นอกจากนี้ นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่า อีกปัจจัยอาจเป็นเพราะตลาดเริ่มกังวลว่า ภาษีนำเข้าอาจผลักดันให้เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลดดอกเบี้ยได้ยากขึ้น
เหตุการณ์นี้ทำให้ความกังวลเรื่องสภาพคล่องและเสถียรภาพของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ มูลค่า 29 ล้านล้านดอลลาร์ กลับมาอีกครั้ง หลังเคยเป็นปัญหาใหญ่ช่วงวิกฤตปี 2563 ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลก็จับตา "basis trade" (ที่ Apollo Global Management ประเมินว่ามีมูลค่าราว 8 แสนล้านดอลลาร์) เพราะกลัวว่า หากกองทุนที่กู้เงินมาลงทุนสูงต้องรีบปิดสถานะพร้อม ๆ กัน ก็อาจกระทบเสถียรภาพตลาดได้
นักวิเคราะห์จาก National Alliance Capital Markets ชี้ว่า ตลาดพันธบัตรปัจจุบันมีสภาพคล่องน้อย จึงอ่อนไหวมากหากมีการปิดสถานะที่ใช้เลเวอเรจสูง ๆ พร้อมกัน ด้านนักวิเคราะห์ Citi เรียกเหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ว่า "การแห่ตุนเงินสดแบบเบา ๆ" (light dash-for-cash) และอาจเป็นสัญญาณ "การทำลายดีมานด์" ที่มีต่อพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งอาจมาจากผลของภาษีนำเข้าที่ทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐที่ใช้เป็นทุนสำรองทั่วโลก (ซึ่งปกติใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ) ลดลง