
บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุนใหม่ KF-EMXCN ฝ่าความผันผวนจากสงครามการค้า ด้วยโอกาสลงทุนในตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน โดยมีสัดส่วนหลักอยู่ในอินเดีย ไต้หวัน และเกาหลี เน้นบริษัทคุณภาพสูงที่ดำเนินธุรกิจภายในประเทศเป็นหลัก ชี้ระดับราคาหุ้นยังคงไม่แพงแต่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง พร้อมรับอานิสงส์จากเศรษฐกิจมหภาคที่เอื้อต่อการเติบโต เสนอขายครั้งแรก 21 - 28 เมษายนนี้
นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า "ภาพรวมเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน ยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นบวก เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลง ส่งผลให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตที่แข็งแกร่ง และเข้าถึงโอกาสการลงทุนในประเทศที่เป็นฐานการผลิตสำคัญของโลก แม้ตอนนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกจะได้รับแรงกดดันจากอัตราภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐ แต่ด้วยราคาหุ้นที่ยังไม่แพงและมีการซื้อขายที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับตลาดประเทศพัฒนาแล้ว ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง จึงมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวเติบโตได้ในระยะยาว เมื่อความไม่แน่นอนเริ่มคลี่คลาย เช่น การชะลอการขึ้นภาษีนำเข้า หรือการเจรจาบรรลุข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯและประเทศคู่ค้า นอกจากนี้ การแยกสัดส่วนการลงทุนในจีนออกจากกลุ่มจะช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนได้"
"สำหรับประเทศที่มีบทบาทสำคัญและศักยภาพสูงในการขับเคลื่อนตลาดเกิดใหม่ที่ไม่รวมจีน ได้แก่ อินเดียที่มีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ปัจจัยพื้นฐานดี และคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโตสูงสุดถึง 6.3%* ในช่วง 10 ปีข้างหน้า ไต้หวันมีความโดดเด่นด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับเทคโนโลยี AI และเกาหลีที่เป็นผู้นำในการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูง (HBM) ที่ใหญ่ที่สุดและได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยี DeepSeek"**
(ที่มา: www.visualcapitalist.com/real-gdp-growth-projections-over-10-years ณ ก.ย. 66 และบทความ "The Great Powers Index: 2024" โดย Ray Dalio's Great Powers Index 2024.*ที่มา:thebusinessresearch company.com ณ ม.ค. 68 และ CLSA ณ 18 ก.พ. 68)
"จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว บลจ.กรุงศรี มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ไม่รวมจีน จึงได้เปิดเสนอขายกองทุน KF-EMXCN (กรุงศรีอีเมอร์จิ้งมาร์เก็ต เอ็กซ์ไชน่า อิควิตี้) มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลักชื่อ RBC Funds (Lux) - Emerging Markets ex-China Equity Fund - B - USD (acc) จุดเด่นของกองทุนหลักคือ ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบผสมผสานระหว่าง Top-down และ Bottom-up เพื่อคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตระยะยาว โดยพิจารณาถึงความยั่งยืนของธุรกิจ ทีมบริหาร และธรรมาภิบาลควบคู่กันไป พอร์ตของกองทุนหลักประกอบด้วยหุ้นประมาณ 45-50 ตัว มีการกระจายน้ำหนักลงทุนตามความเชื่อมั่นในหุ้นแต่ละตัว โดยมีระดับความผันผวนเฉลี่ยของกองทุนต่ำกว่าดัชนีอ้างอิง"
"สำหรับพอร์ตการลงทุนปัจจุบันกองทุนหลักให้น้ำหนักการลงทุนในอินเดีย ไต้หวัน และเกาหลี พร้อมกระจายการลงทุนไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ โดยกลุ่มไอที การเงิน และสินค้าอุปโภคบริโภค มีสัดส่วนสูงสุด 3 อันดับแรก หนึ่งในตัวอย่างหุ้นในพอร์ต เช่น Mahindra & Mahindra กลุ่มบริษัทข้ามชาติของอินเดียที่มีธุรกิจหลากหลายสาขา โดยมีความเชี่ยวชาญหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์และการเกษตร และยังเป็นผู้ผลิตรถแทรกเตอร์รายใหญ่ที่สุดของโลก"
"กองทุนหลักมีประวัติผลการดำเนินงานระยะยาวที่ดี โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังเฉลี่ย 3 ปี อยู่ที่ 22.86% ดัชนีชี้วัด MSCI EM Ex-China Net Index (USD) อยู่ที่ 22.03% ผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน(5 ต.ค. 63) อยู่ที่ 5.95% ดัชนีชี้วัด MSCI EM Ex-China Net Index (USD) อยู่ที่ 3.56% (ที่มา : RBC Global Asset Management, MSCI ณ 28 ก.พ. 68 - ผลตอบแทนที่แสดงเป็นผลตอบแทนสุทธิหลังหักค่าธรรมเนียมการจัดการ โดยนำเงินปันผลรวมกลับคำนวณในผลตอบแทน /ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต / ผลการดำเนินงานที่แสดงเป็นผลการดำเนินงานของกองทุนหลัก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน)
"บลจ.กรุงศรี แนะนำกองทุน KF-EMXCN เป็นทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีระยะยาวให้กับพอร์ตการลงทุน และผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นจีนอยู่แล้ว แต่มองหากองทุนที่จะช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความผันผวนจากตลาดจีนด้วย " นางสุภาพร กล่าว