ในระหว่างการเยือนกัมพูชาเมื่อวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนได้แสดงจุดยืนคัดค้านมาตรการกำแพงภาษีที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ประกาศใช้ โดยสำนักข่าวซินหัวอ้างคำกล่าวของผู้นำจีนว่า สงครามการค้าลักษณะนี้ "บ่อนทำลายระบบการค้าพหุภาคี" และ "ส่งผลกระทบต่อระเบียบเศรษฐกิจโลก"
ซินหัวรายงานเพิ่มเติมว่า ในระหว่างการหารือกับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปธน.สีได้กล่าวถึงกระแสโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจว่าเป็นสิ่งที่ "มิอาจต้านทานได้" พร้อมทั้งระบุว่า แนวคิดการดำเนินนโยบายเพียงฝ่ายเดียวและการมุ่งเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวนั้นไม่อาจได้รับการยอมรับ ซึ่งถือเป็นการกล่าวพาดพิงถึงสงครามภาษีกับสหรัฐฯ ที่กำลังทวีความตึงเครียด
รายงานระบุว่า การเยือนกัมพูชาครั้งนี้ถือเป็นจุดหมายสุดท้ายในกำหนดการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของปธน.สี ซึ่งในโอกาสนี้ ผู้นำจีนยังได้เข้าพบหารือกับสมเด็จมหาบวรธิบดี ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา บุตรชายคนโตของสมเด็จฯ ฮุน เซน โดยทั้งสองผู้นำได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีแลกเปลี่ยนเอกสารความร่วมมือทวิภาคีกว่า 30 ฉบับ ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญ อาทิ ความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนา, เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความร่วมมือด้านห่วงโซ่อุปทาน
สมเด็จฯ ฮุน เซน อดีตนายกฯ กัมพูชา ได้เปิดเผยผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ผู้นำจีนได้แสดงการสนับสนุนต่อโครงการริเริ่มด้านการพัฒนาต่าง ๆ ของกัมพูชา โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างคลองฟูนันเตโช (Funan Techo) ซึ่งเป็นเส้นทางน้ำระยะทาง 180 กิโลเมตร ที่มีแผนจะเชื่อมต่อแม่น้ำโขงช่วงที่ไหลผ่านกรุงพนมเปญเข้ากับอ่าวไทยโดยตรง
นอกจากนี้ ซินหัวยังรายงานว่า ปธน.สีได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชา โดยผู้นำจีนได้ย้ำว่า ทั้งสองประเทศต่างให้การสนับสนุนซึ่งกันและกันอย่างแน่วแน่ในประเด็นที่เกี่ยวกับผลประโยชน์แกนกลางของแต่ละฝ่ายเสมอมา โดยไม่หวั่นต่อความผันผวนของสถานการณ์ระหว่างประเทศ
ด้านสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า การเยือนกัมพูชาครั้งนี้นับเป็นการเดินทางเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของปธน.สีนับตั้งแต่ปี 2559 โดยมีขึ้นหลังจากที่ผู้นำจีนได้แวะเยือนเวียดนามและมาเลเซียก่อนหน้านี้ในสัปดาห์เดียวกัน
ในบทความที่เผยแพร่ผ่านสื่อกัมพูชาเมื่อวันพฤหัสบดี ปธน.สียังได้เรียกร้องให้จีนและกัมพูชา "ร่วมกันต่อต้านลัทธิกีดกันทางการค้า และธำรงรักษาสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศที่ส่งเสริมความเปิดกว้างและความร่วมมือ" ซึ่งถูกมองว่าเป็นการพาดพิงถึงมาตรการภาษีของทรัมป์
ปธน.สีได้เน้นย้ำถึงสถานะของจีนในฐานะคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดและแหล่งเงินทุนอันดับหนึ่งของกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจากกัมพูชา อาทิ กล้วยและมะม่วง สามารถส่งเข้าไปจำหน่ายให้กับครัวเรือนชาวจีนได้มากขึ้น อันเป็นผลพวงจากข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคี
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ได้บังคับใช้มาตรการภาษีศุลกากรเพิ่มเติมของสหรัฐฯ ในอัตราสูงถึง 145% กับสินค้านำเข้าจากจีนทั้งหมด และได้ประกาศจะปรับขึ้นอัตราภาษีพิเศษสำหรับสินค้าจากกัมพูชาเป็น 49% เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผัน 90 วัน