คริส แวน ฮอลเลน วุฒิสมาชิกสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ได้เข้าพบกับ กิลมาร์ อเบรโก การ์เซีย ชายผู้ถูกส่งตัวกลับเอลซัลวาดอร์อย่างผิดพลาด โดยการพบปะครั้งนี้ ณ กรุงซานซัลวาดอร์ เมืองหลวงของประเทศเอลซัลวาดอร์ เมื่อวันพฤหัสบดี (17 เม.ย.) เกิดขึ้น ท่ามกลางการต่อสู้ทางกฎหมายอย่างเข้มข้นระหว่างศาลสหรัฐฯ กับรัฐบาลของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เกี่ยวกับชะตากรรมของอเบรโก การ์เซีย
สว.แวน ฮอลเลน ได้เผยแพร่ภาพถ่ายของตนเองขณะอยู่ในเอลซัลวาดอร์ร่วมกับอเบรโก การ์เซีย ผ่านแพลตฟอร์มเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) พร้อมระบุข้อความว่า "ผมเคยกล่าวไว้ว่าเป้าหมายหลักของการเดินทางมา (เอลซัลวาดอร์) ครั้งนี้คือการได้พบกับกิลมาร์ และค่ำคืนนี้ ผมก็ได้รับโอกาสนั้น"
สว.แวน ฮอลเลน ยังระบุเสริมอีกว่า เขาได้นำ "ข้อความแห่งความรัก" จากอเบรโก การ์เซีย ไปแจ้งแก่เจนนิเฟอร์ ภรรยาของอเบรโก การ์เซียแล้ว และจะแจ้งความคืบหน้าทั้งหมดให้ทราบอีกครั้งเมื่อเดินทางกลับถึงสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ในโพสต์ดังกล่าวไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของอเบรโก การ์เซีย แต่อย่างใด
การเข้าพบครั้งนี้มีขึ้นเพียงหนึ่งวันหลังจากที่สว.แวน ฮอลเลน ซึ่งเป็นผู้แทนจากรัฐแมริแลนด์ อันเป็นถิ่นพำนักเดิมของอเบรโก การ์เซีย ถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าเยี่ยมในเรือนจำที่อเบรโก การ์เซีย ถูกคุมขัง
เดิมที สว.แวน ฮอลเลน เดินทางถึงเอลซัลวาดอร์เมื่อวันพุธ (16 เม.ย.) โดยตั้งใจจะเข้าพบเจ้าหน้าที่และผลักดันให้มีการปล่อยตัวอเบรโก การ์เซีย แต่กลับได้รับแจ้งจากรองประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ เฟลิกซ์ อูโยอา ว่าไม่สามารถอนุมัติการเข้าเยี่ยมหรือการสนทนาทางโทรศัพท์ได้ ทั้งนี้ ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าปัจจัยใดที่เอื้อให้การเข้าพบครั้งนี้เกิดขึ้นได้ในที่สุด
ตามข้อมูลจากทีมทนายความ อเบรโก การ์เซีย วัย 29 ปี ได้เดินทางออกจากเอลซัลวาดอร์ตั้งแต่อายุ 16 ปี เพื่อหลบหนีความรุนแรงจากแก๊งอาชญากร ต่อมาในปี 2562 เขาได้รับคำสั่งคุ้มครองทางกฎหมายให้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ต่อไปได้ ทว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ยอมรับในภายหลังว่าได้ส่งตัวเขากลับประเทศไปเนื่องจากความผิดพลาดทางธุรการ
ทีมทนายความยืนกรานว่า อเบรโก การ์เซีย ไม่เคยถูกตั้งข้อหาหรือตัดสินว่ามีความผิดทางอาญาใด ๆ ทั้งสิ้น และปฏิเสธข้อกล่าวหาของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่ระบุว่าเขาเป็นสมาชิกแก๊งอาชญากรรม MS-13
ก่อนหน้านี้ ศาลฎีกาสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งให้รัฐบาลทรัมป์อำนวยความสะดวกในการนำตัวอเบรโก การ์เซีย กลับคืนสู่สหรัฐฯ โดยผู้พิพากษา โซเนีย โซโตมายอร์ ชี้ว่า รัฐบาลไม่ได้แสดงเหตุผลอันสมควรต่อ "การจับกุมโดยไม่มีหมาย" การเนรเทศ หรือการคุมขังอเบรโก การ์เซีย ในเอลซัลวาดอร์
แม้มีคำสั่งศาล แต่รัฐบาลทรัมป์ยังไม่มีทีท่าว่าจะดำเนินการเพื่อนำตัวอเบรโก การ์เซีย กลับมา โดยอ้างว่าไม่มีอำนาจในการสั่งปล่อยตัวบุคคลจากเรือนจำในต่างประเทศ จุดยืนดังกล่าวอาจนำไปสู่ความขัดแย้งด้านรัฐธรรมนูญ หากรัฐบาลทรัมป์ตัดสินใจขัดขืนคำสั่งของศาลฎีกา
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐฯ เจมส์ โบสเบิร์ก เคยขู่ที่จะดำเนินคดีอาญาฐานละเมิดอำนาจศาลต่อเจ้าหน้าที่รัฐบาล โดยอ้างถึง "การจงใจเพิกเฉย" ต่อคำสั่งศาลเมื่อวันที่ 15 มี.ค. ที่ห้ามการเนรเทศบุคคลไปยังเอลซัลวาดอร์ภายใต้กฎหมายว่าด้วยศัตรูต่างด้าว พ.ศ. 2341 (Alien Enemies Act of 1798) ซึ่งเป็นกฎหมายที่รัฐบาลทรัมป์นำมาใช้เนรเทศผู้คนหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นชาวเวเนซุเอลาที่ถูกระบุว่าเป็นสมาชิกแก๊งไปยังเอลซัลวาดอร์ โดยปราศจากการไต่สวนหรือการนำเสนอหลักฐาน
ภายหลังการเข้าพบของสว.แวน ฮอลเลน นั้น คุช เดไซ รองโฆษกทำเนียบขาวได้ออกมาแถลงว่า อเบรโก การ์เซีย เป็นสมาชิกแก๊ง MS-13 โดยกล่าวว่า "คริส แวน ฮอลเลน ได้ทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่า พรรคเดโมแครตคือพรรคที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับสวัสดิภาพของผู้ก่อการร้าย MS-13 ซึ่งเป็นคนต่างด้าวผิดกฎหมาย เป็นการกระทำที่น่ารังเกียจอย่างแท้จริง ปธน.ทรัมป์จะยังคงยืนหยัดเคียงข้างชาวอเมริกันผู้เคารพกฎหมาย"
ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีนายิบ บูเกเล แห่งเอลซัลวาดอร์ก็ได้โพสต์ภาพการพบกันระหว่างสว.แวน ฮอลเลน กับอเบรโก การ์เซีย ผ่านทางโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า เมื่อ อเบรโก การ์เซียได้รับการยืนยันแล้วว่า เขามีสุขภาพแข็งแรงดี เขาก็จะได้รับเกียรติให้อยู่ในความดูแลของเอลซัลวาดอร์ต่อไป